หนังสือเครื่องปั้นดินเผาเล่มนี้ เป็นหนังสือของสำนักพิมพคติในเครือสำนักพิมพ์แสงแดดเพื่อนเด็ก ที่นำเสนอเรื่องราวของเครื่องปั้นดินเผาไทยจากแหล่งเตาเผาต่างๆ แบ่งตามยุคสมัย ตั้งแต่เครื่องปั้นดินเผาก่อนประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมบ้านเชียง และวัฒนธรรมบ้านเก่า เครื่องปั้นดินเผาสมัยประวัติศาสตร์ ศิลปะทวารวดี หริภุญชัย ศรีวิชัย เขมร หรือศิลปะลพบุรี และเครื่องสังคโลก ขณะที่ราชสำนักและชนชั้นสูงในสมัยอยุธยาตอนปลายและต้นรัตนโกสินทร์ นิยมเครื่องถ้วยเบญจรงค์ และเครื่องถ้วยลายน้ำทอง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเครื่องถ้วยจีน และล่วงเข้าสู่ปัจจุบันที่เป็นยุคของเครื่องปั้นดินเผาไทยร่วมสมัย หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเรื่องราวและภาพถ่ายเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาในไทยอ่างครบสมบูรณ์

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือจากสำนักพิมพ์คติ ที่ได้รวบรวมเครื่องถ้วยเบญจรงค์และเครื่องถ้วยลายน้ำทองที่หาดูได้ยากไว้หลากหลายประเภท ภาพประกอบเป็นภาพจากของจริงพิมพ์ภาพด้วยสีที่คงสีดั้งเดิมไม่ผิดเพี้ยน ลวดลายต่างๆชัดเจนสมบูรณ์ แต่ละภาพอธิบายลักษณะงานศิลปะ ประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดพร้อมบอกขนาดของเครื่องถ้วยเบญจรงค์ทุกชิ้น ตำราเล่มนี้ยังได้ร่วมสืบสานมรดกของไทยและควรแค่แก่การเก็บรักษาเพื่ออนุชนรุ่นหลังต่อไป

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของพระพุทธรูปและเทวรูปในยุคศิลปะต่างๆ ตั้งแต่ล้านนา สุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ พร้อมภาพสีประกอบของพระพุทธรูปและเทวรูป โดยก่อนจะเข้าสู่เรื่องราวจะมีการเกริ่นนำเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาในแต่ละยุคสมัยอันส่งผลต่อความเชื่อและค่านิยมในการสร้างพระพุทธรูปและเทวรูปในสมัยต่างๆ อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตน

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องพุทธศิลป์และเทวศิลป์ในสมัยศิลปะทวารวดี ศิลปะทักษิณ และศิลปะร่วมแบบเขมร โดยแต่ละยุคสมัยปรากฏพุทธลักษณะและเทวลักษณะของประติมากรรมแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของศิลปะที่ยุคสมัยนั้นๆ ได้รับมา เช่น การได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดีย หรือการถ่ายทอดอิทธิพลศิลปะให้แก่กันและกัน เป็นต้น ทั้งนี้ ศิลปะทวารวดีสามารถแบ่งออกได้ 3 สมัย คือ ทวารวดีตอนต้น องค์ประติมากรรมได้รับอิทธิพลจากอินเดียชัดเจน ทวารวดีตอนกลาง รูปเคารพเริ่มคลี่คลายผสมลักษณะของพื้นเมือง และทวารวดีตอนปลาย ประติมากรรมมีลักษณะเฉพาะของตน

"“เบญจภาคี” คือสุดยอดพระเครื่องไทยที่มีผู้กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย เดิมทีนั้น “เบญจภาคี” เป็นหนึ่งใน 12 เล่มของหนังสือชุดมรดกไทย ที่โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทยจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2542 เพื่อระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงสร้างสรรค์และสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ สำหรับพระเครื่องนั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่พันผูกอยู่กับคติความเชื่อของสังคมไทยมาช้านาน ลักษณะของพิมพ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำลองมีความงามแตกต่างตามศิลปะสกุลช่างที่สร้าง โดยเฉพาะพระเครื่องในเบญจภาคีที่เหล่าเซียนพระต่างยกย่องในพุทธนานุภาพ เช่นราชาพระเครื่องอย่าง พระสมเด็จวัดระฆัง สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ลือเลื่องทางโภคทรัพย์ เช่นเดียวกับพระนางพญา พระรอด พระกำแพงซุ้มกอ และพระผงสุวรรณ ที่ล้วนแต่โด่งดังทางเมตตามหานิยม ทั้งนี้ สำนักพิมพ์คติ (อยู่ในเครือบริษัทสำนักพิมพ์แสงแดดเพื่อนเด็ก จำกัด) จึงได้จัดทำหนังสือชุดเบญจภาคี ทั้งหมด 6 เล่มประกอบด้วย พระสมเด็จวัดระฆัง, พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม (วัดใหม่อมตรส), พระสมเด็จวัดเกศไชโย, พระนางพญา, พระซุ้มกำแพงกอ, พระรอดและพระผงสุพรรณ โดยหนังสือชุดดังกล่าว ได้รวบรวมภาพพระเบญจภาคีแท้ไว้จำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยปรากฎ เพื่อให้นักเลงพระและผู้ที่ชื่นชอบได้สะสม ด้วยขนาดรูปเล่มที่ดูภาพได้ชัดเจน พกพาสะดวก เก็บในชั้นหนังสือก็สวยงาม คุณภาพพิมพ์สี่สีทั้งเล่ม กระดาษเกรดดีเยี่ยม "

"“เบญจภาคี” คือสุดยอดพระเครื่องไทยที่มีผู้กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย เดิมทีนั้น “เบญจภาคี” เป็นหนึ่งใน 12 เล่มของหนังสือชุดมรดกไทย ที่โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทยจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2542 เพื่อระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงสร้างสรรค์และสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ สำหรับพระเครื่องนั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่พันผูกอยู่กับคติความเชื่อของสังคมไทยมาช้านาน ลักษณะของพิมพ์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำลองมีความงามแตกต่างตามศิลปะสกุลช่างที่สร้าง โดยเฉพาะพระเครื่องในเบญจภาคีที่เหล่าเซียนพระต่างยกย่องในพุทธนานุภาพ เช่นราชาพระเครื่องอย่าง พระสมเด็จวัดระฆัง สร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ลือเลื่องทางโภคทรัพย์ เช่นเดียวกับพระนางพญา พระรอด พระกำแพงซุ้มกอ และพระผงสุวรรณ ที่ล้วนแต่โด่งดังทางเมตตามหานิยม ทั้งนี้ สำนักพิมพ์คติ (อยู่ในเครือบริษัทสำนักพิมพ์แสงแดดเพื่อนเด็ก จำกัด) จึงได้จัดทำหนังสือชุดเบญจภาคี ทั้งหมด 6 เล่มประกอบด้วย พระสมเด็จวัดระฆัง, พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม (วัดใหม่อมตรส), พระสมเด็จวัดเกศไชโย, พระนางพญา, พระซุ้มกำแพงกอ, พระรอดและพระผงสุพรรณ โดยหนังสือชุดดังกล่าว ได้รวบรวมภาพพระเบญจภาคีแท้ไว้จำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยปรากฎ เพื่อให้นักเลงพระและผู้ที่ชื่นชอบได้สะสม ด้วยขนาดรูปเล่มที่ดูภาพได้ชัดเจน พกพาสะดวก เก็บในชั้นหนังสือก็สวยงาม คุณภาพพิมพ์สี่สีทั้งเล่ม กระดาษเกรดดีเยี่ยม"

"งานช่างศิลป์ไทย" เล่มนี้ ได้นำเสนองานช่างเรื่อง จิตรกรรมไทย หุ่นและหัวโขน สลักหนังใหญ่และหนังตะลุง เครื่องไม้จำหลัก หล่อโลหะไทย และบุดุนโลหะไทย ซึ่งทั้งหมดคือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่หาค่ามิได้ทั้งนี้ นอกจากการแสดงให้ทราบประวัติความเป็นมาและขั้นตอนกรรมวิธีการผลิตของงานแต่ละประเภทแล้ว ยังกล่าวให้ทราบด้วยว่า งานช่างต่างๆ มีความงดงาม สะท้อน "อัตลักษณ์" ความเป็นตัวตนของช่างไทยเป็นอย่างยิ่ง สิ่งสำคัญที่ไม่กล่าวไว้ไม่ได้คือ งานช่างแทบทุกประเภทนี้ ได้รับการอุปถัมถ์และสนับสนุนจากราชสำนักมาโดยตลอด แม้กระทั่งบางงานอย่าง เครื่องไม้จำหลัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงฝีพระหัตถ์ด้วยพระองค์เอง เป็นความปลื้มปิติ กอปรกับความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง

งานช่างศิลป์ไทยมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ที่ผ่านการสร้างสรรค์ จากช่างฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นแขนงใด ปูนปั้น เครื่องถมและลงยา เครื่องรัก ประดับมุก หรือประดับกระจก ล้วนงดงามและมีคุณค่าอันเป็นอัตลักษณ์ควรแก่การอนุรักษ์สืบสานทั้งสิ้น เเม้ในเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ส่วนใหญ่จะมุ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมา เเละเรื่องราววิธีการสร้างสรรค์ งานศิลป์ไทยในรูปเเบบต่างๆ หากโดยจุดประสงค์ของการนำเสนออย่างเเท้จริงเเล้ว ก็เพียงหวังให้เกิดการตระหนักรับรู้ในคุณค่า อันจะยังผลให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันในการอนุรักษ์งานศิลป์เหล่านี้ไว้สืบไป

รายละเอียดของเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้ เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่ประกอบด้วยทั้งด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อจะช่วยให้ผู้อ่านเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในภูมิปัญญาของไทยในด้านงานศิลปกรรม สามารถนาเอาภูมิปัญญาของไทยไปพัฒนาต่อยอดแนวความคิดและประยุกต์สร้างสรรค์เป็นผลงานออกแบบในสื่อดิจิทัล รวมถึงเพื่อให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าและความสาคัญของภูมิปัญญาที่เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของไทย

มิวเซียมสยาม จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ปลุกความรู้ให้กลับมามีชีวิต จุดประกายความคิด ปูทางชีวิตอุดมปัญญา เรามีกระบวนการทำงานที่เปิดกว้าง ในวิธีแสวงหาความรู้จากวัตถุและสื่อร่วมสมัย ในพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า ซึ่งมีประวัติศาสตร์ทับซ้อนมาอย่างยาวนาน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักและสามารถ เชื่อมโยงอัตลักษณ์ของตนจากอดีต มาสรรสร้างอนาคตบนฐาน ของการรู้จักตนเอง